ไม้กอล์ฟตีไกล มีอยู่จริงหรือเปล่า ??
มีนักกอล์ฟหลายท่านกำลังมองหาไม้กอล์ฟ ที่ตีไกลโดยเฉพาะ Driver และต้องการได้ระยะตามที่ต้องการ หรืออยากให้ได้ระยะเพิ่มขึ้นตามที่นักกอล์ฟมือดีแนะนำ หรือที่เป็น Presenter ตามที่โฆษณาต่างๆไว้ ให้กับไม้กอล์ฟนั้นๆ ว่าสามารถตีได้ไกล มากกว่า 300 หลา แต่ไม่ได้ระบุลงไปว่านักกอล์ฟที่ซื้อไป ควรมีสามารถแบบไหน ความความเร็วหัวไม้เท่าไรที่เหมาะกับไม้กอล์ฟแบบนั้น รุ่นนั้น ที่จะทำให้ตีไกลขึ้นจริงอย่างที่ได้โฆษณาไว้
ซึ่ง Professional Club Fitter หลายสำนักในสหรัฐอเมริกาได้วิจารณ์อยู่เสมอว่า ไม้แบนด์เนมในท้องตลาดที่โฆษณาว่าไม้กอล์ฟรุ่นนี้ ตีได้ไกลขึ้น แต่ถ้าพบนักกอล์ฟ ซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้านั้น ซื้อไปแล้วตีได้ไม่ไกลเหมือนอย่างที่โฆษณาสรรพคุณไว้ ก็น่าจะเครม หรือฟ้องร้องคืนสินค้าได้ ซึ่งให้เหมือนกับสินค้าประเภทอื่นๆ ที่มีการควบคุมโฆษณาสรรพคุณเกินความจริง เพระาจากที่ได้พบเห็น มีนักกอล์ฟหลายคนไม่สามารถตีไม้กอล์ฟนั้นได้ไกลกว่าไม้เดิมที่ตัวเองมีอยู่ และบางครั้งจำเป็นต้องขายต่อให้กับเพื่อน หรือ Trade ต่อกันในเว๊ปขายไม้กอล์ฟทั่วไป
การที่จะทำให้ไม้กอล์ฟนั้นตีได้ไกลขึ้นจริง ควรจะต้องคำนึงถึงความสามารถของนักกอล์ฟแต่ละคนที่แตกต่างกัน กับไม้กอล์ฟนั้นๆเสียก่อนว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้นักกอล์ฟ กับไม้กอล์ฟนั้นเข้ากันได้ดี และตีไกลขึ้นบ้าง ซึ่งพอกล่าวได้ดังนี้
องศาหน้าไม้ (Loft Angle) : เป็นตัวที่กำหนดมุมเหิน (Launch Angle) ตัวแรกที่ควรให้ความสำคัญ เพราะมุมเหินลูกกอล์ฟที่ดี และเหมาะสมที่จะทำให้ได้ระยะที่ดี และไกลขึ้น น่าเสียดายในท้องตลาดมี Driver ที่มีมุมองศาหน้าไม้ที่จำกัด เพียง 2-3 แบบอย่างมาก เช่น 9.5 / 10.5 องศา หรือ (9 หรือ 10) ซึ่งไม่สามารถหาองศาที่มากขึ้นกว่านั้นได้ และนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วไป คิดว่ามุมองศาหน้าไม้ที่ต่ำจะทำให้ลูกวิ่งได้ระยะบนพื้นได้ระยะไกลขึ้น (แต่ไม่คิดถึงมุมเหินในอากาศที่เป็นปัจจัยหลักในการสร้างระยะ)
ตัวอย่างเช่น นักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ Driver ต่ำกว่า 85 MPH (Slow Club Head Speed) หากใช้องศาหน้าไม้ ต่ำกว่า 10 หรือ 11 องศา เพราะจะไม่สามารถสร้างสปินให้ลูกกอล์ฟยกตัวขึ้นในอากาศ และมีมุมเหินที่ดีได้ และระยะที่มากขึ้นก็จะน้อยลงด้วยเลย ซึ่งในท้องตลาดจะหน้าองศาหน้าไม้ที่สูงกว่านั้นลำบากมาก เพราะปัจจัยการผลิต ซึ่งเคยยกตัวอย่างไปแล้วว่า บางท่านตี หัวไม้ Fairway#3 Loft 15 องศา ไกลกว่า หรือเท่ากับ Driver ที่มี Loft 9.5 หรือ 10.5 องศา ก็พบเห็นอยู่มาก
ความยาว (Club Length) : เป็นอะไรที่ยากจะควบคุมเมื่อมีก้าน Driver ที่มีความยาวกว่าความสามารถของนักกอล์ฟที่จะสามารถทำให้หน้าไม้มากระทบลูกได้ตรงกลางหน้าไม้ (Center Impact)ให้ได้บ่อยครั้ง เพราะไม้แบนด์ต่างๆ จะพยายามผลิตก้านที่ยาวให้มีความยาวมากขึ้น กว่าในอดีต เช่น 45.5 นิ้ว หรือ 46.5 นิ้ว เพราะเป็นปัจจัยทำให้ได้ระยะเพิ่มขึ้น ที่สามารถเห็นได้ในระยะแรกเริ่มเท่าน้้น แต่จากความเป็นจริง และในเวลาต่อมา เมื่อนำไปออกรอบจริง ในการนำ Driver ที่มียาวก้านเกินไป จะมีโอกาส หรือ Percentage ที่นักกอล์ฟทั่วไปจะสามารถตีลูกกอล์ฟได้ตรงกลางหน้าไม้ได้บ่อยครั้ง เป็นไปได้ยาก ถึงยากมาก หรือ ทำได้นานๆครั้ง (เช่น จาก 10 ลูก ได้ 2-3 ลูก ที่ได้ตามต้องการ) เพราะ เมื่อยาวก้าน มากขึ้น ความแม่นยำจะลดลง
น้ำหนักรวมไม้กอล์ฟ (Total Weight) : มวล + แรง = งาน เป็นหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการปฏิเสธ ไม้กอล์ฟที่เบาใช่คำตอบที่จะทำให้นักกอล์ฟทุกความสามารถตีไกลได้ขึ้น ซึ่งเคยเห็นนักกอล์ฟมือดีหลายคน มีความเร็วหัวไม้ มากกว่า 90 MPH แต่ใช้ไม้กอล์ฟที่มีน้ำหนักเบากว่าความสามารถตนเองที่มีอยุ่ เพราะคิดว่าก้านเบาจะเพิ่มความเร็วหัวไม้ได้ แต่ถ่ายทอดพลังที่มาก ไปยังลูกกอล์ฟก็จะน้อยลง ผลงานเลยไม่เต็มประสิทธิภาพที่ควรได้ หรือได้ระยะไม่ไกลขึ้น เพราะควรให้ความสำคัญกับน้ำหนักรวม ที่เหมาะสมกับความสามารถ จึงจะได้ประสิทธิภาพ และได้ระยะมากที่สุด ดังนั้น น้ำหนักรวมที่มีให้เลือกอยู่ แบบเดียว ก็ไม่ใช่คำตอบกับนักกอล์ฟที่มีความแตกต่าง ที่จะทำให้ตีได้ไกลขึ้นเลยในทุกๆคน
จุดดีดก้าน (Shaft Bending Profile) : ก้านไม้กอล์ฟเป็นส่วนสำคัญที่สุด ในการควบคุมน้ำหนักรวม (Total Weight) และ เป็นตัวกำหนดพลัง (Power) ที่นักกอล์ฟที่ควรจะมีให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดที่ควรจะได้ หากเลือกก้านที่มีจุดดีดก้าน ไม่เหมาะกับจังหวะการสวิงของตัวเอง ให้ได้มุมเหิน (Launch Angle) ที่ดีเพื่อที่จะได้ระยะมากขึ้น และมีการสปินของลูกกอล์ฟที่เหมาะสม ไม่มาก หรือน้อยไป ซึ่งเกี่ยวกับความอ่อน/แข็งของก้าน (Shaft Flex) ต้องเหมาะสมกับความแข็งแรง และความสามารถของนักกอล์ฟที่แตกต่างกัน
นอกจากนั้นการดีดของการควรอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เพราะก้านไม้กอล์ฟ ไม่ได้กลม ราบเรียบตลอด 360 องศา หากการประกอบที่ไม่มีคุณภาพ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการดีดก้านลดลง ที่จะทำให้การทำงานได้ตามต้องการ
Low Kick ให้มุมของลูกสูง และอัตราสปินสูง การยกตัวลอยของลูกฯในอากาศดี เหมาะกับ นักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ต่ำ น้อยกว่า 90 MPH และ Mid หรือ High Kick ให้มุมของลูกต่ำ อัตราสปินก็ต่ำด้วย การยกลอยของลูกฯน้อย เหมาะกับ นักกอล์ฟที่มีความเร็วที่สูง มากกว่า 90 MPH
ความเร็วหัวไม้ฯ (Club Head Speed) และ แนวสวิง (Swing Path) : ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนความสามารถของนักกอล์ฟล้วนๆ ที่จะสร้างความเร็วหัวไม้ฯ และแนวสวิง ที่มีการปะทะลูกกอล์ฟที่ดีสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะทำให้ลูกกอล์ฟออกจากหน้าไม้ที่มีพลังเต็มที่สูงสุด มีมุมเหินในอากาศที่ดี / มีอัตราสปินที่เหมาะสม / มุมปะทะลูกฯ / การส่งพลัง หรือการถ่ายทอดพลังงาน ด้วยความเร็วที่ดีที่สุด
ดังนั้นความเหมาะสม และลงตัวของไม้กอล์ฟ (โดยเฉพาะ Driver) ที่ไม่สามารถตอบโจทย์นักกอล์ฟที่ต้องการตีให้ไกล ได้ทุกคนได้ โดยใช้ไม้กอล์ฟที่ออกมารุ่นเดียว และมีก้านอยู่เพียง 2 แบบ (R หรือ S) ให้เลือก และทำความยาวก้านเกินกว่าการควบคุมได้ง่าย และบอกว่าเป็นไม้ฯที่ตีไกล ก็ไม่สมเหตุผลเท่าไรนัก
(คงไม่บอกนะครับว่าขอเพียงให้โดนดีเพียงช๊อตเดียว ลูกเดียวเท่านั้นที่ไกล ก็พอแล้ว โดยไม่สนใจช๊อตอื่นที่ไม่ดีสักกี่ลูกฯก็ตาม)
สรุปไม้ Driver อันที่นักอล์ฟตีไกลได้มากกว่า 280 หลา ใช่จะเหมาะกับนักกอล์ฟทุกคนได้ เพราะไม้กอล์ฟ ควรต้องมี Spec เหมาะกับนักกอล์ฟในแต่ละคนที่แตกต่างความสามารถกันไป ลองพิจารณาว่าไม้ฯตีไกลที่ท่านจะใช้ได้ควรเป็นแบบไหนจึงจะเหมาะกับท่านที่สุด ควรใช่หลักการพิจารณาดังกล่าว ถึงจะมีไม้กอล์ฟตีไกลของท่านเองจริงๆ !!!!!
***ไม่มีนักกอล์ฟตีไกลคนไหนที่่ไดร์ฟได้ระยะแครี่ มากกว่า 280 หลา และมีความเร็วหัวไม้กต่ำกว่า 100 MPH โดยมีน้ำหนักก้านที่เบากว่า 60 กร้ม และมีการดีดก้านเป็น Low Kick*** ตีในสภาพสนามปกติ ไม่มีลมสนับสนุน***
ไม่ได้ชุดที่เหมาะสม |
การที่จะทำให้ไม้กอล์ฟนั้นตีได้ไกลขึ้นจริง ควรจะต้องคำนึงถึงความสามารถของนักกอล์ฟแต่ละคนที่แตกต่างกัน กับไม้กอล์ฟนั้นๆเสียก่อนว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้นักกอล์ฟ กับไม้กอล์ฟนั้นเข้ากันได้ดี และตีไกลขึ้นบ้าง ซึ่งพอกล่าวได้ดังนี้
- องศาหน้าไม้ (Loft Angle)
- ความยาวก้าน (Club Length)
- น้ำหนักรวมไม้กอล์ฟ (Total Weight)
- จุดดีดก้าน (Shaft Bending Profile)
- ความเร็วหัวไม้ (Club Head Speed) และแนวสวิง (Swing Path)
ปัจจัยทั้ง 5 ประการมีส่วนสำคัญในการพิจารณาให้นักกอล์ฟหนึ่งคน กับ ไม้กอล์ฟที่จะทำให้ตีไกลขึ้น ให้ได้ระยะตามที่ตนเองควรจะได้ (Maximum Capacity) หากไม่ได้พิจารณาโดยนำเอาหลักการเหล่านั้นมาสรุปเป็น Spec ไม้กอล์ฟหนึ่งไม้ ก็อาจจะทำให้นักกอล์ฟคนนั้น ยิ่งตีสั้นลงกว่าเดิมได้ หรือเปอร์เซ็นต์ในการได้ระยะไกลขึ้นน้อยลง เช่นการเสริฟ 14 หลุมจาก 18 หลุมที่ใช้ Driver บน Tee Box อาจไกลและอยู่ใน Fairway เพียง 2-3 หลุมเท่านั้น อย่างนี้เรียกว่าไม่เกิดผลประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเลย (อย่างนี้จะเรียกว่าตีไกลได้หรือเปล่าครับ ????) อย่าลืมนะครับว่า ท่านไม่ได้แข่งตีไกล (Longest Distance) ไม่นับลูกไกลที่สุด แต่ท่านเล่นกอล์ฟเป็นคะแนนที่น้อยชีอตที่สุด (Lowest Scoring)
องศาหน้าไม้ (Loft Angle) : เป็นตัวที่กำหนดมุมเหิน (Launch Angle) ตัวแรกที่ควรให้ความสำคัญ เพราะมุมเหินลูกกอล์ฟที่ดี และเหมาะสมที่จะทำให้ได้ระยะที่ดี และไกลขึ้น น่าเสียดายในท้องตลาดมี Driver ที่มีมุมองศาหน้าไม้ที่จำกัด เพียง 2-3 แบบอย่างมาก เช่น 9.5 / 10.5 องศา หรือ (9 หรือ 10) ซึ่งไม่สามารถหาองศาที่มากขึ้นกว่านั้นได้ และนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วไป คิดว่ามุมองศาหน้าไม้ที่ต่ำจะทำให้ลูกวิ่งได้ระยะบนพื้นได้ระยะไกลขึ้น (แต่ไม่คิดถึงมุมเหินในอากาศที่เป็นปัจจัยหลักในการสร้างระยะ)
ตัวอย่างเช่น นักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ Driver ต่ำกว่า 85 MPH (Slow Club Head Speed) หากใช้องศาหน้าไม้ ต่ำกว่า 10 หรือ 11 องศา เพราะจะไม่สามารถสร้างสปินให้ลูกกอล์ฟยกตัวขึ้นในอากาศ และมีมุมเหินที่ดีได้ และระยะที่มากขึ้นก็จะน้อยลงด้วยเลย ซึ่งในท้องตลาดจะหน้าองศาหน้าไม้ที่สูงกว่านั้นลำบากมาก เพราะปัจจัยการผลิต ซึ่งเคยยกตัวอย่างไปแล้วว่า บางท่านตี หัวไม้ Fairway#3 Loft 15 องศา ไกลกว่า หรือเท่ากับ Driver ที่มี Loft 9.5 หรือ 10.5 องศา ก็พบเห็นอยู่มาก
Center Impact is the best power |
น้ำหนักรวมไม้กอล์ฟ (Total Weight) : มวล + แรง = งาน เป็นหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ยากต่อการปฏิเสธ ไม้กอล์ฟที่เบาใช่คำตอบที่จะทำให้นักกอล์ฟทุกความสามารถตีไกลได้ขึ้น ซึ่งเคยเห็นนักกอล์ฟมือดีหลายคน มีความเร็วหัวไม้ มากกว่า 90 MPH แต่ใช้ไม้กอล์ฟที่มีน้ำหนักเบากว่าความสามารถตนเองที่มีอยุ่ เพราะคิดว่าก้านเบาจะเพิ่มความเร็วหัวไม้ได้ แต่ถ่ายทอดพลังที่มาก ไปยังลูกกอล์ฟก็จะน้อยลง ผลงานเลยไม่เต็มประสิทธิภาพที่ควรได้ หรือได้ระยะไม่ไกลขึ้น เพราะควรให้ความสำคัญกับน้ำหนักรวม ที่เหมาะสมกับความสามารถ จึงจะได้ประสิทธิภาพ และได้ระยะมากที่สุด ดังนั้น น้ำหนักรวมที่มีให้เลือกอยู่ แบบเดียว ก็ไม่ใช่คำตอบกับนักกอล์ฟที่มีความแตกต่าง ที่จะทำให้ตีได้ไกลขึ้นเลยในทุกๆคน
มุมเหินที่ให้ระยะที่แตกต่างกัน |
นอกจากนั้นการดีดของการควรอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เพราะก้านไม้กอล์ฟ ไม่ได้กลม ราบเรียบตลอด 360 องศา หากการประกอบที่ไม่มีคุณภาพ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการดีดก้านลดลง ที่จะทำให้การทำงานได้ตามต้องการ
Low Kick ให้มุมของลูกสูง และอัตราสปินสูง การยกตัวลอยของลูกฯในอากาศดี เหมาะกับ นักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ต่ำ น้อยกว่า 90 MPH และ Mid หรือ High Kick ให้มุมของลูกต่ำ อัตราสปินก็ต่ำด้วย การยกลอยของลูกฯน้อย เหมาะกับ นักกอล์ฟที่มีความเร็วที่สูง มากกว่า 90 MPH
ความเร็วหัวไม้ฯ (Club Head Speed) และ แนวสวิง (Swing Path) : ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนความสามารถของนักกอล์ฟล้วนๆ ที่จะสร้างความเร็วหัวไม้ฯ และแนวสวิง ที่มีการปะทะลูกกอล์ฟที่ดีสมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งจะทำให้ลูกกอล์ฟออกจากหน้าไม้ที่มีพลังเต็มที่สูงสุด มีมุมเหินในอากาศที่ดี / มีอัตราสปินที่เหมาะสม / มุมปะทะลูกฯ / การส่งพลัง หรือการถ่ายทอดพลังงาน ด้วยความเร็วที่ดีที่สุด
ความเร็วหัวไม้ฯ กับระยะที่ควรได้ |
(คงไม่บอกนะครับว่าขอเพียงให้โดนดีเพียงช๊อตเดียว ลูกเดียวเท่านั้นที่ไกล ก็พอแล้ว โดยไม่สนใจช๊อตอื่นที่ไม่ดีสักกี่ลูกฯก็ตาม)
สรุปไม้ Driver อันที่นักอล์ฟตีไกลได้มากกว่า 280 หลา ใช่จะเหมาะกับนักกอล์ฟทุกคนได้ เพราะไม้กอล์ฟ ควรต้องมี Spec เหมาะกับนักกอล์ฟในแต่ละคนที่แตกต่างความสามารถกันไป ลองพิจารณาว่าไม้ฯตีไกลที่ท่านจะใช้ได้ควรเป็นแบบไหนจึงจะเหมาะกับท่านที่สุด ควรใช่หลักการพิจารณาดังกล่าว ถึงจะมีไม้กอล์ฟตีไกลของท่านเองจริงๆ !!!!!
***ไม่มีนักกอล์ฟตีไกลคนไหนที่่ไดร์ฟได้ระยะแครี่ มากกว่า 280 หลา และมีความเร็วหัวไม้กต่ำกว่า 100 MPH โดยมีน้ำหนักก้านที่เบากว่า 60 กร้ม และมีการดีดก้านเป็น Low Kick*** ตีในสภาพสนามปกติ ไม่มีลมสนับสนุน***
http://tomiyaclubfitting.blogspot.com/ ขอขอบคุณบทความ จาก tomiya ครับ
ตอบลบ